ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พุทธศาสนา

๑๑ มิ.ย. ๒๕๕๓

 

พุทธศาสนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ๑. ทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดี ทำไมบางศาสนาถึงบอกว่าการฆ่ากันเป็นการส่งคนขึ้นสวรรค์

หลวงพ่อ : คำว่าศาสนาหลวงตาท่านจะพูดบ่อย ว่าศาสนามันเป็นลัทธิ ไม่ใช่ตัวศาสนา ถ้าตัวศาสนาหลวงตาจะบอกว่ามีแต่พระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิญาณนะ ว่าเราเป็นพระอรหันต์

เพราะว่าเป็นพระอรหันต์ปั๊บ มันต้องตอบคำถามได้ใช่ไหม พระพุทธเจ้าเวลาบิณฑบาตไปนะ ก่อนบิณฑบาตไปๆ เจอลัทธิต่างๆ พวกเดียรถีย์ นิครนถ์จะคุย ธรรมมะกัน ปัญหานี่เขาจะแก้คำถามของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าจะเคลียร์ปัญหาของเขาได้ทั้งหมดเลย เพราะมันรู้ชัดรู้แจ้งไง

ทีนี้ทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดี เราไม่มีศาสนาเห็นไหม แม้แต่สัตว์นะ มันก็อยากให้ลูกมันเป็นสัตว์ที่ดี พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นคนดีทุกคน ฉะนั้นคำว่าคนดี ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีไหม ใช่ ! แล้วคำว่าศาสนามันต้องตอบสนอง ถึงชีวิตเราได้ทั้งหมด นี่มาจากไหน คำว่ามาจากไหน พระพุทธเจ้าเวลาท่านพูดนะ ท่านบอกว่าท่านเคยเป็นพระเวสสันดร ในสุตตันตปิฎก เวลาท่านพูดถึงอดีตชาติ ท่านเคยเป็นนกแขกเต้า ท่านเคยเป็น ท่านเคยเป็น คำว่าเคยเป็นคือจิตมันเคยเป็นมา ทีนี้การเคยเป็นมาเห็นไหม มันจะตอบเลยว่าทำไมถึงเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมไม่เป็นพระสารีบุตร ทำไมถึงไม่เป็นพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรทำไมถึงต้องเป็น พระสารีบุตร ทำไมถึงต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตอบได้หมดนะ นี่ตัวศาสนามันจะตอบได้หมดเลย

พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ พอท่านปรารถนาพุทธภูมิ ท่านก็สร้างบุญญาธิการ ต้องสร้างไง อย่างเช่น เราทำงาน เราจะเอาวุฒิอะไรมาสมัครงาน ถ้าเราไม่มีวุฒิเราจะสมัครงานได้ไหม แต่พระพุทธเจ้าชาติสุดท้าย พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ต้องสละลูกสละเมีย ถึงสุดท้ายเพราะธรรมดาของการผูกพันของคนมันอยู่ตรงนี้ พระเวสสันดร เห็นไหม สละหมดเลย นางมัทรี เทวดามาขอ ทุกคนมาขอ

ฉะนั้น เหตุที่จะเป็นพระพุทธเจ้ามันมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสร้างของพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าเห็น พอพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม ตั้งแต่ตอนเกิดที่สวนลุมพินีวัน เห็นไหม “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เด็กนะ พึ่งเกิดนะ ปฏิญาณตนเลย ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้านะ มันพร้อมมาแล้วไง

ฉะนั้น คำว่าศาสนานี้มันจะตอบโจทย์ คือตอบปัญหาชีวิตเราได้หมดเลย ฉะนั้นคำว่าตอบปัญหาชีวิตเรา อย่างเช่น เราชาวพุทธ ลองภาวนาไปสิ ถ้าภาวนาไปนะ ทุกคนที่นั่งอยู่นี้ภาวนาไปจะเป็นพระอรหันต์นะ มันจะล้าง มันจะแก้ไขหัวใจทั้งหมดเลย ทีนี้หัวใจนะ ในใจของทุกคนมีบวกมีลบ เพราะเวลามีบวกมีลบ คือว่ามีกรรมดี กรรมชั่ว

ทีนี้กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี ความดีก็เคยทำมา ความผิดพลาดก็เคยทำมา ทีนี้กรรมดีกรรมชั่ว ขั้วบวกขั้วลบในใจมันมีพลังงานของมัน ทีนี้พอเราจะไปล้าง เราจะไปแก้ไข ถ้าเราป่วยนะ ไปหาหมอ ถ้าหมอวินิจฉัยโรคเราผิด หมอจะรักษาเราได้ไหม หมอต้องวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร แล้วรักษาตามโรคนั้นจริงไหม แล้วมันจะหายตามโรคนั้น

เวลาจะเข้าไปถึงการแก้กิเลสของเรา เราจะไปเห็น เราจะเข้าใจหมดเลย อย่างเช่น พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเคยเป็นพระเวสสันดร เห็นไหม เคยเป็นมา นี่ถ้าศาสนาต้องเป็นอย่างนี้ ศาสนาจะตอบโจทย์ชีวิตเราได้หมดเลย นั่งอยู่นี้มาจากไหน แล้วตัวเองจะตอบตัวเองนะ นั่งอยู่นี้มาจากไหน มาเกิดอย่างไร แล้วมาอยู่เพื่ออะไร แล้วพอชำระแล้วจบนะ จบ! ถ้าไม่จบนะ เราไม่รู้ พอเราไม่รู้แล้ว พอหมดชาตินี้มันขับเคลื่อนไป เพราะมันมีแรงขับ

ฉะนั้นการเกิดและการตายนี้เราควบคุมไม่ได้ ทุกคนควบคุมการเกิดและการตายของเราเองไม่ได้ มันจะควบคุมโดยกรรม โดยพลังงานที่ทำมา นี่พอพลังงานทำมา คำว่าศาสนาพุทธ พุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญานี่ ปัญญาพุทธะมันจะรู้จบไง ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่ทำไมบางศาสนาบอกว่าการฆ่ากันเป็นการส่งคนขึ้นสวรรค์ ถ้าเป็นความเห็นของพวกเรา เราจะว่าไม่ใช่ศาสนา เป็นความเชื่อของเขา แต่มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้

ถ้าส่งคนขึ้นสวรรค์ มันก็เหมือนสมัยโบราณเนาะ เขาบูชายัญกัน เขาฆ่ากัน ส่งขึ้นสวรรค์ ฉะนั้นเวลาเขาจะฆ่ากันส่งขึ้นสวรรค์ เขาต้องฆ่าไอ้คนที่จะฆ่า กูจะส่งมึงขึ้นสวรรค์แทน ไอ้คนจะฆ่าเขามันยอมให้เขาฆ่าไหม มันก็ไม่ยอม ทุกคนไม่ยอม เวลาเราจะบูชายัญคนอื่นเราทำได้ แต่เขาจะบูชายัญเราไม่ได้นะ เราเป็นผู้มีอำนาจ เราจะเอาสัตว์ตัวนั้นมาบูชายัญ แต่คิดมุมกลับเลย เอาคนที่บูชายัญเขานะ จับตัวเองมาบูชายัญมึงยอมไหม บูชายัญก็เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อความสงบสุข เพื่อประโยชน์ของตัว แล้วถ้ามองผลประโยชน์ของตัวก็เอาตัวเองบูชายัญซะสิ ทำไมไม่บูชายัญ นี่พูดถึงว่าการฆ่าแล้วส่งคนไปขึ้นสวรรค์ ไม่มีหรอก

การฆ่านะ เพราะศาสนาพุทธเราไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ทำลายใครทั้งสิ้น สัตว์ทุกดวงใจทุกชีวิตรักชีวิตทุกตัว ไม่มีสัตว์ตัวใดไม่รักชีวิตของตัวเอง ในเมื่อเขารักชีวิตของเขา เราก็ต้องรักชีวิตของเรา ในเมื่อเรารักชีวิตของเรา เราก็ต้องเคารพชีวิตของเขา ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ไม่มี การฆ่าแล้วเป็นบุญอย่างนี้ไม่มี

แต่ถ้าพูดถึงศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทุกศาสนา เราจะลบทิ้งนะ สัตว์โลกทุกประเภทต้องสอนคนให้เป็นคนดี อยากให้ลูกเป็นคนดีทั้งหมด อยากให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองดีทั้งหมด ฉะนั้นคำว่าศาสนาตัดทิ้งไปเลย แต่ถ้าคำว่าศาสนาปั๊บนี่ มันลึกซึ้งกว่านั้น ฉะนั้นสิ่งที่การฆ่ากันต่างๆ นั้นเราจะลบ เราจะตัดคำว่าศาสนาทิ้งเลย แต่ถ้าเขาเชื่อกันว่าเป็นศาสนานั้นก็เป็นกรรมของสัตว์ เพราะเป็นความเชื่อของเขา เราบังคับความเชื่อใครไม่ได้

ถาม : ๒. ทำไมคนเราถึงชอบหลงไปในรูปลักษณะที่สวยงาม แต่ไม่ชอบจิตใจที่สวยงาม

หลวงพ่อ : แหม ! สุดยอดเลย เขาบอกว่าดูคนเขาให้ดูที่น้ำใจเห็นไหม คำถามอย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ไง มันเป็นที่ว่าคนเรามันมีวุฒิภาวะของใจ ดูงานศิลปะสิ ทุกคนไปดูแตกต่างเห็นไหม แต่ละคนมองศิลปะ เวลาไปดูภาพศิลปะกัน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เราสวยงาม ทีนี้เรามองศิลปะนี่ มุมมองของแต่ละบุคคลมันก็ไม่เหมือนกัน

ทีนี้ย้อนกลับมา ทำไมคนชอบรูปลักษณะที่สวยงาม เพราะวัตถุที่สวยงามเป็นวัตถุที่มันหยาบไง ที่คนจับต้องได้ไง แต่การทำความดีที่เป็นความสวยงาม ทุกคนเห็นได้ยาก

อย่างเช่น เรานี่ ใครจะว่าเราดีหรือเราชั่วล่ะ ทุกคนมันก็เห็นว่า เอ่อ นี้พระนะ กลับไปบ้านแล้วไม่รู้ว่าเป็นพระหรือไม่เป็นพระ เพราะเราอยู่คนเดียวนะ เพราะเห็นรูปลักษณะมันเห็นได้ง่ายไง แต่ความดี การกระทำนี้มันเห็นได้ยากไง ฉะนั้นเรื่องคุณงามความดี เรื่องความสวยงาม ความงามมีน้ำใจนี่ หัวใจงามนี่สำคัญมากเลย ถ้าหัวใจงาม คนที่งามนะมีความสุขก่อนเพราะหัวใจเรางาม คนดีคิดแต่เรื่องดีๆ นะ คิดเรื่องชั่วเรื่องลามกจกเปรตไม่ได้ คนชั่วนะมันคิดเรื่องดีไม่ได้ มันคิดแต่เรื่องลกมาจกเปรต ถ้ามันคิดแต่เรื่องลามกจกเปรตนะ การกระทำของมันจะเป็นอย่างไร หน้าฉากนั้นเป็นความดี แต่มันจะมีเลศนัย มีฉากหลังให้เราได้ทุกข์ยากหมดเลย

ฉะนั้น แต่ถ้าคนดีนะ ดีจากภายในเห็นไหม มันคิดเรื่องนั้นไม่ได้หรอก จริงๆ นะบางทีเวลาเราไปฟังไอ้คนที่มันคิดชั่ว คิดทำร้ายกันนี่ มันวางแผนซับซ้อน โอ้โฮ ลึกลับซับซ้อน จนเราคิดกันไม่ถึงเลยเห็นไหม นี่! ความไม่งามจากหัวใจ แต่ถ้าเป็นความงามจากหัวใจมันสุดยอดมาก มันเป็นความจริง แต่เป็นเพราะวุฒิภาวะของจิต

วัวใครเข้าคอกมัน อาจารย์องค์ไหนเป็นอย่างไร แล้วลูกศิษย์มันชอบอย่างนั้นนะ วัวใครเข้าคอกมัน ฉะนั้นถ้าอาจารย์เป็นอย่างนั้นแล้วเห็นลูกศิษย์เป็นอย่างนั้นนะ นั่นล่ะวัวของเขา คอกของเขา มันเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะไปทลายคอกของเขา คอกยังทลายได้ง่ายๆ นะ ไปรื้อก็หมดใช่ไหม แต่ความคิดความชอบนี่เราทลายของใครได้

ฉะนั้นเวลาบอกว่าทำไมเขาชอบ ขออย่างเดียวขอให้เราอย่าชอบ เราอย่าเป็นไปอย่างเขาก็แล้วกัน เรามีหลักของเรา ไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่าจริตนิสัย การสร้างสมมา เหมือนรสชาติอาหาร อาหารแต่ละคนกินอาหารไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ฉะนั้นเวลาคนชอบอาหารอย่างไร เขาก็ว่าอาหารนั้นถูกปากเขาว่าอร่อย ถ้าอาหารนั้นไม่ถูกปากเขา เขาก็ว่าไม่อร่อย จริตนิสัยถ้ามันชอบ มันพอใจมันๆ ก็จะเป็นอย่างนั้นนะ แต่นี้มันก็เป็น เวรกรรมของคน โดยธรรมชาติทุกคนก็ต้องชอบของดีงามทั้งนั้นนะ

ฉะนั้นถ้ามันงามเพราะหัวใจ มันงามเพราะนามธรรม พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ สอนเรื่องงามหัวใจ เพราะว่าเรื่องงามหัวใจ กลิ่นของศีลหอมทวนลม คุณงามความดีของเรา เห็นไหม ถ้าใครเป็นคนดีคนหนึ่ง เพื่อนคบคนนั้นคนดี ยิ่งพ่อแม่จะบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นคนดี กลิ่นของศีลของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของโทษ กลิ่นของความชั่ว มันก็ทวนลม ทวนลมไปในทางที่ลบ

ฉะนั้นไอ้นี้มันเป็นอำนาจวาสนา ถ้าจิตใจเราดีนะมันจะเข้าได้อย่างนี้เลย เขาเรียกเข้ากันโดยธาตุ พระพุทธเจ้าบอกลูกศิษย์พระสารีบุตร ๕๐๐ เป็นผู้มีปัญญาหมดเลย ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะ ๕๐๐ มีฤทธิ์มีเดช ชอบมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกัน ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกจกเปรตหมดเลย มันชอบเหมือนกันไง ฉะนั้นการชอบอย่างนี้ เราก็ไม่อยากชอบอย่างนั้น เราไม่ต้องการชอบอย่างนั้น เราต้องการชอบแต่คุณงามความดี

แต่คุณงามความดี ดูลูกศิษย์พระสารีบุตรสิ มีแต่ปัญญานะ แล้วคนที่ปัญญาหางอึ่งนี่ ไปคุยกับคนมีปัญญานี่ โอ๊ย เราคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแล้ว ไปถึงโดนเป็นลูกไล่เขาตลอดเลย แล้วจะพัฒนาอย่างไรให้มีปัญญาเท่าเขา ธาตุคือความชอบ คือจริตนิสัย ธาตุไง น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน

ฉะนั้นโดยหลัก โดยข้อเท็จจริง คนทุกคนปรารถนาดี อยากได้ดี แต่เพราะกิเลส ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มันปิดหัวใจมา มันถึงไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นความดีของน้ำใจไง มันไปเห็นความดีของวัตถุ เช่น ตอนนี้เขาแจกตังค์ ใครก็อยากได้ แต่เขาให้ทำความดีไม่ค่อยอยากทำ ถ้าเขาแจกตังค์นะทุกคนแบมือขอเลยล่ะ แต่บอกให้ทำดีนะ ความดีมันจะมาถึงเรานะ เหอะ เหนื่อย ! เหมือนกัน แล้วถูกต้อง ทุกคนชอบรูป หลงรูปของความสวยงาม ทำต่อไปเนาะ เพราะเวลาเรามันจะน้อย

ถาม : ๑. เคยเห็นคนที่ไปวัด ฟังพระสวดมนต์ พนมมือ แต่ปากคุยกันเรื่องที่บ้าน จะเป็นบาปหรือเป็นบุญ

หลวงพ่อ : เป็นบาป มันมีบุญกับบาป เหรียญมี ๒ ด้าน อย่างเช่น สวดมนต์ได้บุญไหม ได้บุญ เราไปวัด ฟังพระเทศน์ได้บุญไหม ได้บุญ แต่เราไปคุยกันมันก็บาป เหรียญมี ๒ ด้าน มันได้ทั้งบวกและลบไง ทีนี้บวกลบใครได้มากกว่ากัน ถ้าพระองค์นั้น ถ้าเป็น ครูบาอาจารย์ อย่างเช่น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระสารีบุตร พระอรหันต์ เวลาเทศนาว่าการแล้วเราไปทำลาย เหมือนกับในวงสัมมนาเห็นไหม เขาต้องการการอบรมนะ แล้วเราไปทำให้หนวกหูเขาเห็นไหม แต่เราไปเราได้ไหม เหมือนกัน แล้วบอกว่า โอ๊ย ไปวัดไปฟังเทศน์ พนมมือได้บุญ ใช่ ได้บุญส่วนหนึ่ง ได้บุญโดยกิริยา แต่ถ้าเราตั้งใจฟังด้วย แล้วเราได้รับความรู้ด้วย โอ้โฮ นี้สุดยอดเลย

แต่ถ้าปากคุยกันนะ ตบปากตัวเองเลย ได้บาปสิ บาปเพราะไปทำให้คนอื่นเขาเสียหาย คนอื่นเขาตั้งใจฟังทำให้เขาหนวกหู แล้วถ้าเกิดเขาเป็นธรรมขึ้นมาแล้วเราไปทำ เหมือนเด็กมันตั้งใจทำการบ้าน แล้วเราไปชวนมันคุย เราได้บุญหรือได้บาปล่ะ ได้บาปสิ เพราะเด็กมันจะทำการบ้าน พรุ่งนี้มันจะไปโรงเรียน มันมีการบ้านไปส่งครูมัน เราไปชวนมันคุย ชวนมันเล่น สุดท้ายพรุ่งนี้เช้ามันไม่กล้าไปโรงเรียน เพราะมันไม่มีการบ้านไปส่งครู นี่ไง เพราะการคุยของเราทำให้เขาเสียหายเห็นไหม

แต่ถ้าเด็กมันเห็นภาพชัด แต่ไปคุยกันที่วัดมันเห็นไม่ชัดหรือ เพราะเราคุยกันเราไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้คนนั่งฟังเขารำคาญจะตาย มันก็เป็นบาปสิ ถ้าอย่างนี้แล้วมันต้องตั้งใจอย่าทำ แต่เวลามันเผลอ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาไปวัด ยิ่งเวลาคนตาย รุ่นเดียวกันเห็นไหม ไม่เคยเจอกันมา ๒๐ ปีไง ทุกคนพอเพื่อนตายก็ไปกันหมดเนาะ ไม่เคยเจอกันมา ๒๐ ปี พอเจอกันนะมันคุยกันทั้งวันเลย ยิ่งคุยกันมาก เพราะมันไม่ได้เจอกันนาน คือมันไปหมดตัว พูดจนเสียงดังลั่น มันนึกว่าไม่มีใครได้ยินไง เวลาลืมตัวมันเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ลืมตัวมันจะไม่ทำอย่างนั้น เขาจะทำคุณงามความดีกัน เราก็ไปทำลายเขา มันก็เป็นบาป ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ล่ะ

ฉะนั้น บอกว่า อ้าว เป็นบาปแล้วไปวัดทำไมล่ะ เขาไปวัด ไปวัดใจ หลวงปู่ฝั้นบอกไปวัดไปวัดใจ วัดพฤติกรรมของเราไง เราเข้าวัดแล้วเรามีพฤติกรรมอย่างไร วัดนะวัตรปฏิบัติ มันไม่ใช่วัด ด เด็ก วัด วัตถุ วัดโบสถ์ วัดวิหาร ไอ้นั่นมันหินทรายปูนนะ มาวัด นั่งเรียบร้อยนะวัด วัตรของเรา วัตรคือข้อวัตรปฏิบัติ

ถาม : พระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ แตกต่างกันอย่างไร

หลวงพ่อ : พระโพธิสัตว์เป็นพื้นฐานให้เกิดพระอรหันต์ เป็นสัตว์ก็เป็นพระโพธิสัตว์นะ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไปเกิดเป็นกวาง เกิดเป็นลิง เกิดเป็นกระต่าย เพราะเป็นพระโพธิสัตว์หมายถึงว่าเป็นหัวหน้า คำว่าโพธิสัตว์หมายถึงว่าสร้างโพธิญาณ

การสร้าง อย่างเช่น ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าเพราะอะไร ศาสนาจะตอบว่า เพราะได้สร้างมาอย่างนั้นถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์คือการสร้าง

อย่างเช่นพระโพธิสัตว์นะ มีคนเยอะมากที่ปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เป็นคนที่จิตใจดีงาม ที่ว่าเห็นน้ำใจงาม น้ำใจงามนี่ พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้คิดเสียสละ เห็นคนทุกข์คนยากอยากจะช่วยเหลือเขา อยากจะเจือจานเขา อยากทำอะไรเขานี่ นี่จิตใจของพระโพธิสัตว์ ถ้าทำอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ หมายถึงว่า ผู้ที่บำเพ็ญญาณอยู่

พระอรหันต์เกิดต่อเนื่องจากพระโพธิสัตว์ ถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์ ไม่มีบารมีธรรม ไม่มีการสร้างคุณงามความดีมา จะเกิดพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์เป็นผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีอริยสัจ เพราะพระอรหันต์ สาวกสาวกะได้ยินได้ฟังแล้วปฏิบัติตาม เพราะพระอรหันต์หมายถึงการชำระกิเลสทั้งหมด

พระโพธิสัตว์เหมือนปุถุชน พระโพธิสัตว์คือคนดี เพราะพระโพธิสัตว์ ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ พระโพธิสัตว์นี่ก็กลับเป็นคนชั่วได้ พระโพธิสัตว์คือเลิกไง เราสร้างความดีมาเยอะแยะเลย แล้วท้อใจ ไม่เอา เลิกดีกว่า นี่ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ถึงไม่แน่นอนไง พระโพธิสัตว์หมายถึงว่าคนดีคนหนึ่ง เขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์

แล้วถ้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว ดูสิ เมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจนะ เราไปดูไอ้พวกศิลปะ ไปเมืองจีนเห็นไหม มันจะมีที่ว่าเขานอนเห็นไหม เวลาเรากราบพระ เวลาที่ทิเบตเขากราบพระเขานอนไปเลย นอนไปเลยนะ มันเกิดจากในพระไตรปิฎกมี พระไตรปิฎกนี่ พระพุทธเจ้าเสวยชาติ จำไม่ได้ ที่ว่าพระพุทธเจ้ามาแล้วทำถนนกันไม่ทันไง ก็เอาตัวนอนทาบไปเลย พอนอนไปพระพุทธเจ้าก็เดินเหยียบร่างนี้ไปเลย แล้วพยากรณ์ไง พยากรณ์ว่าต่อไปพระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไง ชี้พยากรณ์ พอพยากรณ์นี้กลับไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว จะดีอย่างเดียว แล้วจะไปข้างหน้าอย่างเดียว ถอยกลับไม่ได้

อย่างเช่นพระโพธิสัตว์นะ หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เจ้าคุณอุบาลีท่านก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วหลวงปู่มั่นท่านกลับของท่าน แล้วหลวงปู่มั่นท่านพยายามจะไปพูดกับครูบาศรีวิชัย หลวงตาเล่าประจำว่า หลวงปู่มั่นนะ เวลา ครูบาศรีวิชัยเป็นพระโพธิสัตว์ มันจะสร้างบุญญาธิการ สร้างแต่คุณงามความดี แต่พอสร้างคุณงามความดีโลกเขาอิจฉาตาร้อน เขาก็สร้างความขัดแย้ง คือภาษาโลกว่ากลั่นแกล้งกันตลอด จนหลวงปู่มั่นท่านอยู่กับครูบาศรีวิชัยที่เชียงใหม่ หลวงปู่มั่นไปบอก ครูบาศรีวิชัยว่า “เลิกเถอะ” คือว่าให้ทิ้งพระโพธิสัตว์ ให้ปฏิบัติเข้าไปเป็นพระอรหันต์เลย

ครูบาศรีวิชัยพูดกับหลวงปู่มั่น นี่หลวงตาเล่านะ “มันไม่เป็นอิสระกับตัวเองแล้ว” คือตัวเองไม่สามารถจะเลิก จะละได้ พอพูดอย่างนี้ปั๊บนี่ นักปราชญ์กับนักปราชญ์จะรู้ทันกัน พอครูบาศรีวิชัยพูดอย่างนั้นปั๊บ หลวงปู่มั่นก็เข้าใจว่า ครูบาศรีวิชัยได้รับพยากรณ์แล้ว คือละไม่ได้แล้ว จะเป็นพระโพธิสัตว์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แล้วก็อีกแสนยาวไกลนัก ยังต้องไปเรื่อยๆ ต้องสร้างบุญญาธิการไปอีกมาก

ฉะนั้นว่าพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์แตกต่างกันอย่างไร พระอรหันต์คือ จิตใจที่เป็นพระอรหันต์ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จะไม่มีการเกิดอีกแล้ว พระโพธิสัตว์จิตใจเป็นปุถุชน แต่กำลังสร้างคุณงามความดีเพื่ออำนาจบารมี เพื่อเข้าไปสู่ความเป็นอรหันต์ไง

ฉะนั้นพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์แตกต่างกัน คำว่าโพธิสัตว์ อย่าไปตื่นเต้น วัว ควาย ช้าง ม้า ก็เป็นพระโพธิสัตว์ได้ พระโพธิสัตว์ หมายถึง คนดี สัตว์ที่ดี มันพาฝูงมันไปทำที่ดีๆ มันปกป้องฝูง ดูแลฝูงของมัน นั้นคือโพธิสัตว์ คือการสร้างคุณงามความดี

ฉะนั้นพอบอกพระโพธิสัตว์นะ เรานี้หงายหลังตึงเลย พระโพธิสัตว์ทำอย่างไรก็ได้ ไม่กล้าวิจารณ์ ไม่กล้าส่องกล้องพระโพธิสัตว์ กลัวตัวเองจะเป็นกรรม พระโพธิสัตว์ใช่ไหม พระโพธิสัตว์ต้องเข้ากล้องจุลทรรศน์เลย พระโพธิสัตว์ดีหรือไม่ดี

ฉะนั้นคำว่าพระโพธิสัตว์นี้ มันจะทำให้พวกเราไม่กล้าตรวจสอบ คนจะดีจะชั่วต้องตรวจสอบ อย่าดีชั่วเพราะข่าวลือ ฉะนั้นเพราะมีคนอ้างว่าโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ เพราะคำว่าพระโพธิสัตว์คือว่าเขาถูกต้องไง ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉะนั้นพระโพธิสัตว์หมายถึงจริต หมายถึงการสร้างบารมี แต่พระอรหันต์เราจบแล้ว พระอรหันต์คือผู้สิ้นกิเลส เหมือนกับไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งใดเลย มีแต่กิริยาเฉยๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นโทษอีกเลยพระอรหันต์นี่ไม่มี แต่มีการกระทำอยู่ มีการเคลื่อนไหวอยู่เพราะยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตนี้ยังมีอยู่ ชีวิตนี้ยังดำรงต่อไป แต่จะไม่เป็นโทษกับใครเลย เว้นไว้แต่ไอ้คนคาดหมายไว้สูง แล้วไปคาดกิริยาว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องเป็นพระพุทธรูป ขยับไม่ได้เลย ห้ามหายใจด้วย หายใจเดี๋ยวไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะการคาดหมายของเรากันเอง

แต่ตัวของพระอรหันต์ไม่มีโทษไม่มีภัยกับตัวท่านอยู่แล้ว จบสิ้นกระบวนการ ไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งใดๆ เลย มีแต่การหมุนไปโดยความว่างเปล่า ฉะนั้นถึงไม่มีโทษมีภัยกับใคร ในตัวเองก็ไม่มีโทษภัยกับตัวเอง กับคนอื่นก็ไม่มีโทษมีภัยกับคนอื่น ไม่มีเด็ดขาด มีแต่คุณเท่านั้นเอง แต่คนรู้จักคุณหรือไม่รู้จักคุณนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : ๑. เคยได้ยินเรื่องนรก ๑๐ ขุม มีจริงหรือเปล่าค่ะ แต่ละขุมมีอะไรบ้าง คนทั่วไปเขารู้รึเปล่าค่ะ

หลวงพ่อ : นรกนี้มี ๖ ขุมนะ ใช่ไหม นรกมีกี่ขุม ๑๐ ขุมเหรอ ฉะนั้นนรกมันหนึ่งขุมแล้วนี่ มันมีขุมย่อยไปอีก ฉะนั้น สวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ตัวเลขมันสับสน

ฉะนั้นได้ยินว่านรกมี ๑๐ ขุม มีจริงหรือเปล่าค่ะ

หลวงพ่อ : จริง มีทวีปออสเตรเลียไหม มีทวีปเอเชียไหม มีทวีปแอฟริกาไหม มีไหม มี เพราะมันมีใช่ไหม มีภพไง นรกสวรรค์มันเหมือนกับทวีปๆ หนึ่ง นี่เรายกเปรียบเหมือนทวีปนะ นรกสวรรค์เป็นภพ คำว่าภพเขาเรียกว่าวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ อรูปภพนี่ อรูปภพคือพรหมเห็นไหม ความรู้สึกเรานี่

สมมุติตัวเองว่าตายเดี๋ยวนี้ พอเราตายตูม ! ความรู้สึกเราจะไปอยู่ที่ไหน ฉะนั้น พอตายตูมนี่ ไอ้นรกสวรรค์ คนทำชั่วตกนรก เขาไปเกิดในนรกอเวจี ไปเกิดเป็นเปรตเป็นผี มันก็ไปอยู่ในภพของเขา

ในภพของเขาก็เปรียบเหมือนทวีปๆ หนึ่ง เพราะมันมีของมัน แล้วอย่างออสเตรเลียมีไหม อเมริกามีไหม แอฟริกามีไหม มี แล้วถ้าเราไปอยู่ที่นั่น เราก็เป็นประชากรที่นั่นใช่ไหม แต่ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ แต่เขามีไหม เราจะปฏิเสธความมีของเขาไม่ได้ เรายกให้เห็นเป็นทวีปเพราะว่ามันเป็นวัตถุ

ฉะนั้น นรกสวรรค์มันก็เป็นภพ แต่มันจะเห็นได้ด้วยตาใจไง ตาใจมันจะเห็นได้เลย ถ้าคนเห็นนะ มันจะรู้จะเห็นได้เลย เพราะจิตของโยมที่เรานั่งกันอยู่นี้ ทุกดวงใจนี่ เมื่อวานมีไหม เมื่อวานมีใช่ไหม วันนี้มีไหม แล้ววันนี้มีมาจากเมื่อวาน จิตปัจจุบันเราเป็นมนุษย์เราเป็นคนไหม ใช่ไหม มีชีวิตมีความรู้สึกไหม มี แล้วความรู้สึกอันนี้มันมาจากไหน มันมาจากภพอดีตนั่นไง ถ้ามันมาอย่างนั้นปั๊บนี่ นรกถึงมีไหม มี แต่ไม่ได้ถ่ายวิดีโอมาให้ดู

ถ้าถ่ายวิดีโอมาให้ดูก็จะเห็นด้วยกัน อันนี้มันถ่ายมาไม่ได้ นี่ไง เพราะคำว่าถ่ายวิดีโอมาให้ดูไม่ได้ ฉะนั้นพอถ่ายวิดีโอมาให้ดูไม่ได้ เขาถึงเห็นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ของดีมีจากความสัมผัส มีจากความรู้ความเห็น ถ้าความสัมผัสความรู้ความเห็นมี

อย่างโยมมาด้วยกัน นั่งรถมาด้วยกัน รถคันนั้นมันไม่ต้องเถียงกันแล้วว่ารถยี่ห้ออะไร เบาะเป็นอย่างไร เพราะมันนั่งมาด้วยกัน จิตที่มันเวียนตายเวียนเกิด มันได้นั่งรถ มันนั่งโดยสารมา จิตที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมานี่ มันมีภพมีชาติของมันมา สิ่งนี้มีอยู่ ถ้าไม่มีอยู่ เราต้องถามตัวเองว่าถ้านรกสวรรค์ไม่มี เรานั่งกันอยู่ที่นี่มันมาจากไหน แล้วถ้านั่งตรงนี้มันต้องมีที่มา แล้วที่มาๆ จากไหนล่ะ มาจากนรกก็ได้ มาจากสวรรค์ก็ได้ มาจากมนุษย์ก็ได้ มนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ มันก็หมุนมานี้แหละ

ฉะนั้นสิ่งนี้มี นรกสวรรค์มี ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดีงาม ผลตอบสนองมันก็เป็นอย่างนั้น ทำคุณงามความดี ผลตอบสนองมันก็มีความร่มเย็นเป็นสุขก็เกิดบนสวรรค์ ทำคุณงามความดีหรือความชั่วพอปนเปกัน แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก มนุษย์นี่มันเป็นภพกลาง ภพกลางมันได้สร้างคุณงามความดี สร้างอะไรไปตอบสนองต่อไปเรื่อยๆ

ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นสถานที่ เป็นสถานะ เป็นวัฏฏะ เราจะปฏิเสธหรือจะไปทำลาย เหมือนคุกนี่ ใครจะไปทำลายคุกได้ คุกเขาเอาไว้ขังคนผิดนะ สิ่งที่เขาให้คุณงามความดี เขาจะให้ไปเห็นไหม เวลาสโมสรสันนิบาต เวลาเขามีงานกันเขาเชิญแต่คนดีไปนะ ฉะนั้น ถ้าเราทำดีเราก็ไปสภาวะแบบนั้น ถ้าเราทำชั่วเราก็ตกนรกอเวจี สิ่งนั้นเราไปทำลายเขาไม่ได้หรอก

เราจะบอกว่าไอ้วัฏฏะ นรกสวรรค์อย่างนี้ไม่มีใครไปสร้างมัน ไม่มีใครไปทำลายมัน มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ทวีปต่างๆ ก็มีของเขา ทวีปนี้ยังเป็นวัตถุที่มันแปรสภาพนะ นรกอเวจี ไอ้พวกวัฏฏะนี่ไม่แปรสภาพ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้ามารู้มาเห็น ครูบาอาจารย์มารู้มาเห็น เราไม่มีทางที่จะไปทำลายได้หรอก จะเอาระเบิดปรมาณูไประเบิดมันทิ้งก็ไม่ได้หรอก เพราะมันมีของมันอย่างนั้น ให้เราหมุนเวียนไปอยู่สถานะนั้นต่างหาก ฉะนั้นมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ

ถาม : ๑. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำไมเรียกโลกนี้ว่าทะเลทุกข์ แต่ทำไมไม่เห็นคนเขาจะเดือดร้อนอะไรเลย

หลวงพ่อ : ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าทะเลทุกข์ ครูบาอาจารย์ หรือเหมือนกับว่าพระโพธิสัตว์ หรือพระอรหันต์นี่ พระอรหันต์หรือพระอริยบุคคล ทำไมถึงเรียกโลกนี้ว่าทะเลทุกข์ เพราะมันเป็นความทุกข์จริงๆ ถ้าไม่เป็นความทุกข์จริงพวกโยมร้องไห้กันทำไม เวลาเสียอกเสียใจ เวลาเดือดร้อนทุกข์ยาก ร้องไห้ทำไม การร้องไห้เพราะเราอยู่ในวังวนของความทุกข์ไง เวลาเรามีอะไรผิดพลาด เรามีอะไรเจ็บช้ำน้ำใจ มีอะไรอยู่กับโลกนี่ เวรกรรมมันบีบคั้นเข้ามา เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ขับรถไปเฉยๆ ขับรถไปดีๆ เขาเอารถมาเสยตูด ตูม ! เลยนะ ทุกข์ไหม เราไม่ได้ทำเขา เราอยู่ในสังคม ทะเลทุกข์ก็เพราะเหตุนี้ไง

ทะเลทุกข์คือผลของวัฏฏะ คือผลของกามภพ อรูปภพนี่ไง นี่ทะเลทุกข์ เพราะจิตนี้เวียนไป ก็เปรียบเหมือนวัฏวน เหมือนกับทะเล มันมีปลาฉลามมันมีอะไรมาคอยกัดเรา แล้วเราต้องว่ายวนเวียนอยู่ในทะเลนั้นนะ คนเราจะเกิดเป็นมนุษย์นะเหมือนเต่าตาบอดอยู่ในน้ำ ถ้าโผล่ขึ้นมาเขาเอาบ่วงวางไว้ในทะเลเห็นไหม ถ้าโผล่ขึ้นมาในบ่วงนั้น คือได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าโผล่ขึ้นมาไม่เข้าในบ่วงนั้น ก็เกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ นั้นไงทะเลทุกข์ไง

แต่ทำไมไม่เห็นคนเขาจะเดือดร้อนเลย

ไม่เดือดร้อนก็คนตาบอด คนตาบอดไม่กลัวอะไรเลยนะ คนตาบอดจะไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้นเราเป็นคนตาดี เราเห็นไปหมดเลยนะ เดินเข้าไปนี่ โอ้โฮ นี่กองไฟ โห นั่นมีแต่สิ่งปฏิกูล คนตาดีพอไปเห็น โอ๊ย มันเดือดร้อนกันไปหมดนะ

คนตาบอดนะ โอ้โฮ สบายมาก เห็นปฏิกูล โอ้โฮ กลิ่นหอม ทำคนเขาไม่เดือดร้อนกันเลย ไม่เดือดร้อนเพราะมันโดนกิเลสบังตา แล้วพอกิเลสก็เป็นความชอบไง เห็นไหม เขาบอกเลยนะสวรรค์นี่ไม่มีผู้ชายเลยล่ะ เพราะผู้ชายมันไปเที่ยวสำมะเลเทเมา บนสวรรค์ไม่มีผู้ชายเลย

นี่ก็เหมือนกัน เพราะมันไม่เห็นโทษไง นี่ ทำไมคนเขาไม่เดือดร้อน เรานี่นะไม่มีโรคไม่มีภัยเรายังถือตัวถือตนได้นะ แต่ถ้าเราเป็นโรคร้ายขึ้นมา หมอบอกว่าอีก ๖ เดือนตาย คนๆ นั้นจะตกใจมาก คนเราทุกคน จิตใจนี่ สิ่งที่ชอบ ที่แสวงหา ที่ดิ้นรนกันอยู่นี่เพราะอะไร เพราะค่านิยมของใจ ถ้าใจมีค่านิยมอย่างนั้นปั๊บ มันก็เห็นว่าไม่เห็นเดือดร้อนเลยไง

พอค่านิยมที่เขาหามานี่ เขายกเลิกใช้หมดเลย พรุ่งนี้เช้าเขาประกาศว่าเงินบาทนี้เลิกใช้ ไอ้พวกนี้ร้องไห้ตายห่าเลย ไอ้ที่สะสมไว้ชักตายเลย แล้วเดือดร้อนไหม เดือดร้อนไหม ทำไมเขาไม่เดือดร้อนเลย เขาไม่เดือดร้อนเพราะเขาอยู่ในสังคมที่เขาคิดกันเองไง สังคมที่เราอยู่นะเป็นสมมุติ ค่าของเงินก็สมมุติกันว่ามีค่า ทุกอย่างสมมุติขึ้นมาแล้วแข่งขันกัน ยิ่งตอนนี้นะ ค่าของเงินๆ สมมุติ กับค่าของทองคำ ค่าของแร่ธาตุที่มีค่า เพราะตอนนี้คนมันทันกัน

เงินสะสมในโลกนี้ที่เขาหาเงินกันมานี่ พวกเศรษฐีมหาเศรษฐีเขามีเงิน เงินเย็นเขาจะใช้อะไร ไม่มีอะไรจะใช้แล้ว จะไปลงทุนที่ไหนมีแต่ลดค่า ซื้อแร่ธาตุดีกว่า ซื้อทองคำดีกว่า นี่ไง ค่าของมันโดยค่าตามความจริงของมัน ทีนี้บอกว่าเพราะเราอยู่ในสังคม อยู่ในค่านิยมของสังคม แต่เราไม่อยู่ในค่าของความเป็นจริง แม้แต่แร่ธาตุที่มีค่า ทองคำมีค่าขนาดไหน เวลาไม่มีอาหารเอ็งจะกินทองคำไหม มันใช้ประโยชนกันคนละชนิดโว้ย ทองคำมันมีค่าในตัวของมันเอง แต่มันไม่มีประโยชน์กับชีวิตหรอก ทีนี้เพียงแต่ว่าเงินทองเรามีมหาศาล เราไม่รู้จะใช้อย่างไรเราก็ไปลงทุนในทองคำเท่านั้นเอง

ฉะนั้น เราจะมาเปรียบเทียบว่าทำไมคนไม่เดือดร้อนไง คนไม่เดือดร้อนก็คิดว่ามันมีสมอง คนเรานี่อยู่ด้วยปัญญาๆ ทุกอย่างเจริญด้วยปัญญา ปัญญาโลกกับปัญญาธรรมนะ ปัญญาโลกคือโลกียปัญญา ปัญญาโลกคือความคิดของโลกๆ ความคิดแบบวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความรู้สึกของเราไม่ได้นะ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ค่าทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความรู้สึกของเราไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์การเกิดและการตายของเราไม่ได้ แต่ถ้าจิตใจเราๆ พิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ได้เมื่อไหร่นะ เขาจะเดือดร้อนมาก นี่ !ทำไมเขาไม่เดือดร้อนเลย เขาไม่เดือดร้อนเพราะเขาพิสูจน์อะไรไม่เป็น แต่ถ้าเขามีหูมีตา เขาพิสูจน์เป็นขึ้นมานะ เขาจะเดือดร้อนมาก เดือดร้อนเพราะอะไร เดือดร้อนเพราะว่าเวลาเราจะสิ้นแล้ว ทุกคนเวลาชีวิตที่ได้มา อายุที่ได้มาคือเวลาที่เสียไป แล้วมันจะตาย แล้วมันจะต้องไปเผชิญกับเวรกรรมของมัน

มันจะเผชิญเวรกรรมของมัน มันถึงพยายามจะสร้างอะไร เพื่อจะเอาตัวรอดไง เพราะมันจะเดือดร้อนทันทีเมื่อหัวใจมันเปิด มันจะมืดบอด มันจะไม่เดือดร้อนอะไรเลย เพราะมันคิดว่ามันจะอยู่ค้ำฟ้าไง นี่พูดถึงตอบเป็นค่านิยมความเห็นไง นี่เรื่องของโลกนะ

ทำไมว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเรียกว่าโลกนี้มีแต่ทะเลทุกข์ แต่ทำไมไม่เห็นคนเขาเดือดร้อนกันเลย

เราก็ไม่เดือดร้อนด้วย เพราะถ้าเราคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเราหูตาสว่างเราจะเดือดร้อน

ถาม : ๒. พระอานนท์ปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์แล้วก็ได้สำเร็จธรรม แล้วบุคคลทั่วไปจะปฏิบัติรับใช้ใครถึงจะดีค่ะ

หลวงพ่อ : รับใช้ตัวเองสิ พระอานนท์ปรารถนามาเป็นผู้อุปัฏฐาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์มีบุญกุศล ฉะนั้นการปฏิบัติอุทิศ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเรียกอุปัฏฐาก แต่เวลาพระอานนท์จะเป็น พระอรหันต์ พระอานนท์ต้องปฏิบัติด้วยตัวของพระอานนท์เอง แล้วเวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเขาก็ปฏิบัติของเขา

ในเมื่อพระอานนท์ปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร คือพุทธะ พุทธะคืออะไร คือผู้รู้ ผู้รู้คืออะไร ผู้รู้คือจิตวิญญาณของเราไง แล้วทำไมไม่ดูแลตัวเองล่ะ ทำไมไม่ดูแลหัวใจล่ะ นี่ไง แล้วบุคคลทั่วไปจะปฏิบัติรับใช้ใคร ปฏิบัติรับใช้คนอื่นก็ยิ่งปฏิบัติยิ่งไกล

เพียงแต่เขาไปหาครูบาอาจารย์กัน เขาก็จะไปฟังเทศน์นี่ไง ไปครูบาอาจารย์ ก็เหมือนเราเป็นนักมวยใช่ไหม ครูบาอาจารย์ก็เป็นพี่เลี้ยง คอยให้น้ำให้ท่าเราไง นี่ก็เหมือนกัน ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็คอยแนะนำเรา อย่างเช่น ถามมานี่ ครูบาอาจารย์จะตอบ ถ้าไม่ถามมาใครจะตอบ

แล้วนี่พระอานนท์ไปรับใช้พระพุทธเจ้า แล้วเราจะไปรับใช้ใคร แล้วพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็เอาธรรมของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจเราล่ะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้สึก หัวใจของเรานะ ทำไมเราไม่อุปัฏฐาก

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก อยู่ในบ้านนะพ่อแม่คือพระอรหันต์ของเรา เราจะไปทำบุญที่ไหนเราก็ต้องทำบุญกับพ่อแม่เราก่อน เราดูแลพ่อแม่เราก่อน แล้วดูพ่อแม่เสร็จแล้วจะดูใครต่อไปล่ะ ก็ดูหัวใจเราไง ดูความรู้สึกเรานี่ ทำไมมันเร่าร้อน ทำไมมันมีความทุกข์ แล้วทำอย่างไรมันจะคลายทุกข์ เห็นไหม

ถ้าอุปัฏฐากที่นี่ เท่ากับอุปัฏฐากพุทธะ เท่ากับอุปัฏฐาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต้องอุปัฏฐากหัวใจของเราเอง เราจะดูแลหัวใจของเรา ปฏิบัติหัวใจของเราให้พ้นจากกิเลสได้เหมือนกัน

ถาม : ทำไมถึงเกิดมาเป็นกะเทย ทำไมกะเทยถึงไม่ค่อยเข้าวัด

หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนะ กะเทยนี่พระพุทธเจ้าเรียกว่า บัณเฑาะก์ ในพระไตรปิฎกเขาเรียกว่าบัณเฑาะก์ ถ้าเป็นบัณเฑาะก์แล้วเห็นไหมบวชพระไม่ได้ ทำไมถึงว่าเกิดมาเป็นกะเทย ทำไมเราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย มันมีเพศหญิงเพศชาย เพศสมณะ เป็นเพศ เพศหญิง เพศชาย เพศสมณะ

ฉะนั้นคำว่ากะเทยหรือเพศที่เป็นกลางนี่ ทุกคนนะผู้หญิงก็อยากเกิดเป็นผู้ชาย ผู้หญิงอยากเป็นผู้ชายมาก ผู้ชายก็อยากเกิดเป็นผู้หญิง แรงปรารถนา แรงความเป็นไปนี่จิตใจมันไปก่อน แต่ร่างกายมันไม่เป็นอย่างนั้น เวลาเกิดมันก็ซับไปเรื่อยๆ มันจะกลับกัน ระหว่างหญิงกับชายมันจะกลับของมันไป จนมันถึงที่สุด

พระอานนท์นี่เคยเป็นผู้หญิงมาก่อน พระอานนท์อยากเป็นผู้ชายเห็นไหม ก็เกิดตายเกิดตาย ๕๐๐ ชาติ จากหญิงเป็นชายโดยสมบูรณ์ จากชายเป็นหญิงโดยสมบูรณ์ ๕๐๐ ชาติ ฉะนั้นคำว่า ๕๐๐ ชาติ นี่มันจะเปลี่ยนไปอย่างนี้ มันจะเปลี่ยนไป

ฉะนั้นแรงปรารถนาของคนมันมี ฉะนั้นที่ว่าทำไมถึงเกิดเป็นกะเทย ความปรารถนา หัวใจนี่ ทีนี้ในวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เห็นไหม เวลาลูกเราเกิดมาแล้วนี่ เป็นผู้ชายต้องเลี้ยงให้สมกับเป็นผู้ชาย อย่าไปเลี้ยงในวงกับผู้หญิง ถ้าไปเลี้ยงกับผู้หญิงเดี๋ยวจะเป็นกะเทย นี้พูดถึงสิ่งแวดล้อมของโลกที่เขาคิดกันทางจิตวิทยา

แต่ถ้าความเป็นจริงเขาก็มีกรรมมีเวรของเขา เขาเกิดมาเขามีกรรมมีเวรของเขา แรงปรารถนา แรงความเป็นไปของเขา คือหัวใจปรารถนาเห็นไหม ดูอย่างเช่นเราเห็นไหม เวลาไม่มีความรักก็เฉยๆ นะ ถ้ามีความรักนะใจจะขาดเลย ไอ้นี่ความชอบก็เหมือนความรักอันหนึ่ง แรงปรารถนาในหัวใจที่ต้องการ ต้องอยากเป็นไปเห็นไหม

พออยากเป็นไป อำนาจนี่ถึงบอกว่า ความรู้สึกของคน ยอดมนุษย์คือหัวใจเห็นไหม หัวใจนี่ประเสริฐมาก ฉะนั้นสิ่งที่เขาเป็น อันนี้เมื่อก่อนนะ ถ้าเป็นสมัยโบราณ ใครมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร สิ่งนี้เขาจะเก็บไว้ แต่ในสมัยปัจจุบันเรียกว่าประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ พอมีสิทธิเสรีภาพการแสดงออกไง นี่การแสดงออกมา มันจะออกมา ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้มันมีจากหัวใจ จากต้นขั้ว จากความคิดของคน จากแรงปรารถนาของคน จากรสนิยม จากความเป็นไปของเขา ฉะนั้นถ้าเขาถึงที่สุดแล้ว เขาก็จะเป็นเพศโดยชัดเจน เขาจะเป็นหญิงหรือเป็นชายโดยชัดเจนของเขา ถ้าเขาไปถึงที่สุด ถึงความปรารถนาของเขา แต่ขณะที่มันเป็นไปเห็นไหม

นี่ ความเปลี่ยนแปลงไง มันจะย้อนกลับไปตั้งแต่ที่ว่านรกขุมไหน ขุมไหนเหมือนกัน มันหมุนไปในวัฏฏะ อันนี้คือนรก นรกเป็นๆ ไง นรกหัวใจ นรกคือว่าแรงปรารถนา ปรารถนาแล้วไม่สมความปรารถนาเป็นทุกข์ แล้วด้วยแรงปรารถนานี่มันมีความปรารถนาของมันมาก แล้วมันยังไม่ถึงที่สุดของมัน มันก็จะมีความทุกข์ของมันไปเป็นธรรมดา แต่ถ้ามันเป็นไปตามข้อเท็จจริงนั้น มันก็ทุกข์เหมือนกัน ทุกคนเกิดมาทุกข์หมดล่ะ แต่ความทุกข์โดยอย่างนั้น กับความทุกข์โดยแรงปรารถนาที่มันยังไม่ได้ตามเป็นจริง กรณีอย่างนี้นะ มันไม่อยากจะยกเลย ยกแล้วเดี๋ยวจะหาว่าเอาพระโพธิสัตว์มาอ้างอิงไง

พระโพธิสัตว์ เห็นไหม หลวงปู่มั่นปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ นี่! แรงปรารถนา แต่ทำไมหลวงปู่มั่นลาพระโพธิสัตว์ได้ล่ะ อันนี้ก็เหมือนกัน มันลาได้ ถ้ามันทำความเข้าใจได้ มันลาได้ คือว่าไม่เป็นตามแรงปรารถนา ให้เป็นตามข้อเท็จจริง เป็นหญิงเป็นชายโดยข้อเท็จจริง มันก็จบ

แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นมันก็เป็นไป มันเป็นอย่างนี้มาตลอด มันมีมา มันมีมาเพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของนามธรรมที่.. เรามาเกิดเป็นชาตินี้ มันเป็นปัจจุบันนี่ มันมีที่มาที่ไป แล้วที่มาที่ไปนี่ ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงเรื่องเวรเรื่องกรรมในจิตเราได้

พอมันเป็นอย่างนี้แล้วนี่ เพียงแต่เขาถามว่า ทำไมถึงเกิดไง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เราพูดถึงเหตุผล แล้วเหตุผลนี่มันยังมีข้อโต้แย้งเยอะมาก ใครจะมาโต้แย้งว่าเราพูดผิดหมดก็ไม่เป็นไร เพราะอันนี้มันจะออกเว็บไซต์ เดี๋ยวออกไปมันจะเป็นประเด็นมานะ โอ่ กูจะรู้ได้อย่างไร เออ เขาเรียกว่าอะไรนะ เขาเรียกว่าเดาเอา แต่เป็นแรงปรารถนา นี่ความเห็นเรา

ถาม : จิตกับความคิดแตกต่างกันอย่างไร

หลวงพ่อ : โอ้โฮ! ( เวลาไม่มีโว้ย) จิตคือพลังงาน ความคิดคืออาการของจิต คอมพิวเตอร์มันใช้อย่างไร คอมพิวเตอร์นี่ถ้าไม่มีไฟ จิตคือพลังงานคือตัวไฟฟ้า ความคิดมันเกิดนะ ถ้าไฟฟ้าเข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าสิ่งใด มันแสดงออกอย่างไร ความคิด! เราตั้งสติไว้ความคิดมีไหม ตั้งสติไว้ ความคิดหายหมดเลย มีแต่ความรู้สึก ความรู้สึกคือตัวจิต อยากเห็นจิตนะ กลั้นลมหายใจเลย กลั้นลมหายใจไว้ นั่นนะคือตัวจิต เพราะกลั้นลมหายใจไว้ความคิดไม่มี กลั้นลมหายใจสิ มันไม่คิดอะไรเลย นั่นนะจิต พอผ่อนลมหายใจความคิดมาเลย ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเป็นความคิด

ความคิดคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารคือความคิดความปรุงแต่ง ความปรุงความแต่งคือความจินตนาการ ความจินตนาการถ้าไม่มีตัวพลังงาน ไม่มีตัวจิต พลังงานก็ปรุงแต่งไม่ได้ คอมพิวเตอร์ถ้าไม่มีไฟฟ้าก็ใช้ไม่ได้ ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างไม่มีพลังงานก็ใช้ไม่ได้ พลังงานคือตัวจิต ความคิดคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากพลังงาน

ฉะนั้นตัวพลังงานคือตัวจิต ความคิดเกิดจากตัวพลังงาน ฉะนั้นความคิดนี่มันตกผลึกมา เห็นไหม ความคิดอย่างหยาบ ความคิดอย่างละเอียด ความคิดมีหลายชั้นตอนมาก เวลาความคิดนะ ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างละเอียดสุดในหัวใจ ขันธ์คือความคิด ความคิดของโสดาบัน ความคิดของสกิทา ความคิดของพระอนาคา ความคิดของพระอรหันต์ แตกต่างกันหมดเลย ปฏิบัติไปจะเห็น ( เวลาไม่มี ถ้าเวลามี โอ้โฮ พูดได้ครึ่งวันเลย)

ถาม : ๑. ตายแล้วคนเราไปอยู่ที่ไหนค่ะ ผีมีจริงในโลกนี้หรือไม่ค่ะ

หลวงพ่อ : เรานั่งอยู่นี้แล้วสมมุติว่าเราตาย เราก็นั่งอยู่นี้ เวลาเราตายนะส่วนใหญ่คนนั่งไม่ได้ เวลาเราตายคนจะนอน เวลาตายจิตมันออกจากร่าง เวลาคนเราเป็นเจ้าชายนิทรา สมองตายเขาว่าคนนี้ตายแล้ว ไม่ตาย จิตยังไม่ออกจากร่าง ไม่เรียกว่าคนตาย ตัวจิตไม่ใช่ความคิด ความคิดเป็นความคิด ตัวจิตคือตัวพลังงาน ถ้ามีพลังงานอยู่คนนั้นไม่มีวันตาย ในเมื่อสมองไม่ทำงาน ชีพจรไม่มี สิ่งใดๆ ไม่มีเลย แต่มีความรู้สึกอยู่ เจ้าชายนิทรายังกรอกตาไปกรอกตามา ไม่ใช่คนตาย

คนเรานะถึงเวลาให้ออกซิเจน ให้ทุกอย่างนะถ้าชักออกซิเจนออกก็ตาย แต่ยังไม่ชักออกซิเจนก็อยู่ เพราะว่าคนเราเกิดมา จิตนี้ปฏิสนธิเกิด พอเกิดแล้วนี่มันจะอยู่ในร่างกายนี้ไปจนชีวิตหนึ่ง แต่พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ประสาทสัมผัสความรับรู้ของร่างกาย ความเสื่อมสภาพไปมันไม่รับรู้ พอสมองเริ่มไม่รับรู้ แต่ตัวพลังงานยังอยู่ ไม่ถือว่าคนตาย

ถาม : คนตายแล้วไปอยู่ที่ไหนค่ะ

หลวงพ่อ : คนตายนะ จิตปัจจุบันนี่ เราเป็นปัจจุบันความรู้สึกเราเต็มตัว เวลาตาย จิต ไอ้ความรู้สึกอันนี้มันเคลื่อนออกไปจากเราเฉยๆ พอเคลื่อนออกไปอย่างนั้นมันไม่มีกายเนื้อ พอจิตออกไปมันมีแต่ความรู้สึก คนเรานี่ทำลายร่างกายได้ มือตัดทิ้งได้ ร่างกายเอาเข้าไปบดๆ ในเครื่องบด บดละเอียดหมดเลย แต่บดความรู้สึกเราให้ตายได้ไหม บดความคิดให้ตายได้ไหม บดพลังงานให้ตายได้ไหม ใครจะทำลายพลังงานตัวนี้ได้ถ้าไม่ใช่มรรคญาณ ไม่ใช่มรรคญาณจะทำลายจิตนี้ไม่ได้เลย

ฉะนั้น คนตายแล้วไปอยู่ไหนค่ะ คนตายแล้วก็อยู่อย่างนี้ แต่จิตนี้มันไปตามเวรตามกรรม ถ้าคนนี้สร้างบุญไว้มาก จิตคหบดีเวลาตายนะ รถม้า รถเทวดา มาจอดเต็มไปหมดเลย เชิญให้ขึ้นสวรรค์ เทวทัตเวลาตายนะ เทวทัตนี่ถูกธรณีสูบตั้งแต่ชีวิตเป็นๆ เลย

แต่ถ้าคนมีกรรมมากนะ เวลาจิตออกจากร่างปุ๊บเลย หลวงตาบอกว่าคนเรายัง สบประมาทกันอยู่ เพราะสถานะของมนุษย์ลมหายใจยังอยู่ ถ้าลมหายใจขาด จิตออกจากร่าง มันจะไปตามแรงกรรม ดีหรือชั่ว ชั่วตกต่ำ ไปตามแต่นรกอเวจี ดี ลอยขึ้นสู่ที่สูง ไปสู่สวรรค์ พรหม แต่ถ้าในปัจจุบันมันแก้ไขของมัน

ตายแล้วไปไหนค่ะ ผีมีจริงหรือเปล่าค่ะ ถามตัวเองกลับว่า กลัวผีไหมค่ะ ถ้ากลัวผี ก็ผีมีไง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเป็นผีตัวแรกไง จิตวิญญาณตัวนี้คือผี จิตวิญญาณตัวนี้ถ้าทำดีเขาเรียกว่าเทพ เรียกว่าเทวดา มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์ มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ร่างกายเป็นมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดเป็นเทวดาเป็นผู้เสียสละ ร่างกายเป็นมนุษย์จิตใจเป็นสัตว์เดียรัจฉานเที่ยวทำลายเขา ร่างกายเป็นมนุษย์จิตใจเป็นเทวดาเที่ยวเผื่อแผ่เขา นี่มันเป็นโดยสถานะความรู้สึกความคิด

ฉะนั้น ผีตัวนี้ ผีตัวนี้ ไม่ต้องไปกลัวผีตัวไหน กลัวผีเรือนนี้ให้ดีก่อน ถ้าผีเรือนนี้ได้พัฒนา ได้ประพฤติปฏิบัติ ผีเรือนนี้เข้มแข็ง ผีป่าจะเข้ามาอาศัยไม่ได้ แต่ถ้าผีเรือนนี้อ่อนแอ ผีเรือนนี้ไม่เข็มแข่ง ผีเรือนนี้ไม่ประพฤติปฏิบัติ สงสัยไปหมดเลย แล้วเวลามีทุกข์มียากขึ้นมา ต้องรับขันธ์ ๕ ต้องให้ผีป่ามาทับซ้อน ตัวเองก็มีผีเรือนอยู่แล้ว ยังเอาผีป่าเข้ามาอาศัย ผีตัวนี้ผีมีจริงไหม ถามตัวเองว่าผีมีหรือเปล่า

นี่คำตอบจากศาสนา นี่เห็นไหมศาสนาไม่สำคัญ คนเขาไม่เห็นโทษ เพราะอะไร เพราะตามันมืดบอดมันเลยไปถือผีกัน แต่ไอ้ผีตัวนี้มันโดนชำระล้างแล้วมันจะเป็นเทพ มันจะเป็นพรหม ไอ้ผีตัวที่นั่งอยู่นี้ ฉะนั้นผีมีจริงหรือเปล่าค่ะ ถามตัวเองว่ากลัวผีหรือเปล่า ผีนี่มีจริงๆ ผีก็คือจิตวิญญาณไง จิตวิญญาณนี้เรียกว่าผี แล้วความรู้สึกเรามี แล้วเวลาเราตายไปแล้ว จิตวิญญาณนี้จะเคลื่อนออกไปก็คือผี

แต่ถ้าเคลื่อนออกไปดีเรียกว่าเทพ โลกของจิตวิญญาณมีนะ โลกของวิทยาศาสตร์ก็มี โลกของจิตวิญญาณก็มี ฉะนั้นไอ้ผีตัวนี้แหละ ผีมีจริงหรือเปล่าค่ะ ถามตัวเองว่ากลัวผีหรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่กลัวเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวป่าช้า

ถาม : หลังจากทำบุญแล้ว เวลาอุทิศส่วนกุศลหรือกรวดน้ำนั้น หากอุทิศให้ตัวเองด้วยนั้น ถูกต้องหรือเปล่าค่ะ

หลวงพ่อ : ถูกต้อง อุทิศส่วนกุศล เวลาเรามีเพื่อนมีฝูง ใช่ไหม มีพี่มีน้อง มีป้า มีน้า อาในครอบครัวเรา มันมีการทำดีทำชั่ว มันมีการขัดแย้งกันมาทั้งนั้นนะ เขาเรียกเจ้ากรรมนายเวร มันมีกันอยู่ ทีนี้เราทำบุญกุศลนะ เราก็ขอโทษขอโพยอุทิศส่วนกุศลให้ เพราะจิตวิญญาณ อาหารของใจคือบุญกุศล คือความเมตตา ความให้อภัยต่อกัน ไอ้โลกของมนุษย์ โลกของวิทยาศาสตร์ โลกของวัตถุ โลกของสสาร โลกของจิตวิญญาณคือโลกของน้ำใจ

ฉะนั้นเวลาเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ทุกๆ คนเลย แล้วอุทิศให้ตัวเองด้วย ถ้าอุทิศให้ตัวเองเห็นไหม ตัวเองจะมีสติปัญญาขึ้น ตัวเองจะเห็นคุณค่าขึ้นไง ทำบุญกุศล โอ้โฮ เงินก็หายาก เงินก็ไม่มีจะทำอย่างไร ไม่ต้อง เห็นเขาทำคุณงามความดีกัน เห็นเขาสร้างกุศลกัน อนุโมทนาไปกับเขานี่บุญเต็มๆ เลย เห็นเขาทำคุณงามความดี สาธุ เราอยากทำอย่างนี้แต่เรายังทำไม่ได้ ถึงเวลาวันใดวันหนึ่งเรามีโอกาส เราจะทำอย่างนี้ อย่างนี้ นี่ไง บุญไง บุญไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาแล้วเราทำบุญไม่ได้ เราอุทิศส่วนกุศล อุทิศให้ได้ตลอด

คำว่าอุทิศส่วนกุศล คือศาสนาพุทธ พุทธศาสนาเขาเรียกว่าอภัยทาน ให้อภัยต่อกัน ยิ้มแย้มต่อกัน ใครทำผิดแล้วให้โอกาสเขา ให้เขาแก้ไข แต่ถ้ามันผิดบ่อยๆ มันผิดเรื่อยๆ ก็ไม่ไหว ก็ต้องค่อยๆ กันมันออกไป คนชั่วทำความชั่วง่ายทำความดียาก คนดีทำความดีง่ายทำความชั่วยาก

ผู้ที่บริหารเขาต้องมีพรหมวิหาร ๔ ถึงที่สุดแล้วนะต้องอุเบกขา ธาตุไง ธาตุ มหาโจรก็คือมหาโจร กันเขาไว้ไกลๆ กันเขาไว้อย่าให้เขาเข้ามาทำลายสังคมของเรา กันเขาไว้ ถ้าธาตุอย่างนั้นคือธาตุอย่างนั้น ดูเห็นไหม แร่ธาตุอย่างไรมันอยู่ของเขา

ฉะนั้นคำว่าอุทิศส่วนกุศลนี้ ต้องอุทิศนะ อุทิศส่วนกุศลเพราะทุกคนตระหนี่ถี่เหนียว ทำบุญก็ไม่อยากจะทำบุญ ได้บุญแล้วก็ไม่ให้ใครเลย บุญของกูกอดไว้แน่นเลย เทียนเล่มหนึ่ง จุดไว้เล่มหนึ่งมันจะไหม้หมดนะ เทียนเล่มหนึ่งเที่ยวต่อให้คนอื่น จุดไว้หลายๆ ที่ เทียนเราจะสว่างไสวไปหมด เทียนเราได้ต่อๆๆ ไป

การอุทิศส่วนกุศล เราอุทิศไป อุทิศไป ยิ่งอุทิศส่วนกุศลเพราะเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก อุทิศได้ล้านๆๆๆๆ ครั้งเลย แต่ถ้าหวงนะมีอันเดียว แต่ถ้าอุทิศไปนะเราจะมีล้านอัน เทียนจะมีล้านเล่ม แต่ถ้าเราตระหนีถี่เหนียวเราจะมีเทียนเล่มเดียว ถ้าเราอุทิศออกไปเราจะมี ๒ เล่ม ๓ เล่ม ๔ เล่ม ๕ เล่ม มีเยอะๆๆๆๆ ด้วยการอุทิศออกไปไง แต่กิเลสมันไม่ยอม อุทิศให้เขาทำไมของกู กูจะเอาอันเดียวพอ แต่ถ้าอุทิศเราจะมีล้านๆๆๆๆ อัน นี้เรื่องของบุญกุศล คนเข้าใจได้ยาก คนเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้

ถาม : ทำอย่างไรให้หมดกรรม

หลวงพ่อ : การหมดกรรมง่ายที่สุดเลย นี่เวลาทำอย่างไรให้หมดกรรม แล้วก็ไปแก้กรรมกัน ไปแก้กรรมให้เขาหลอกกินนะ โยมอยากแก้กรรมไหม อยากพ้นทุกข์ไหม มาแก้กรรม เอาตังค์มา เอาตังค์มา ฉันได้ตังค์ เอาเงินไปให้เขา มันไปแก้อะไรกัน

การแก้กรรมนะ กำหนด พุทโธๆๆๆๆๆ นี่ให้มันสงบเข้ามา การแก้กรรมมีทางเดียวคือการภาวนา การภาวนาจะชำระให้สิ้นกิเลส ชำระกรรม ชำระสิ่งชั่วช้าลามกในหัวใจ การจะแก้กรรมต้องทำความสงบของใจ

รถยนต์เวลาเราจะซ่อมเครื่อง เวลาติดเครื่องอยู่จะซ่อมเครื่องรถยนต์ได้ไหม รถยนต์จะซ่อมเครื่องต้องดับเครื่องก่อนใช่ไหม รถยนต์จะเปลี่ยนอะไหล่ มันยังติดเครื่องอยู่เลย แล้วบอกว่าจะเปลี่ยนลูกสูบได้ไหม บุญกรรมที่มันเกิดอยู่นี้ แล้วบอกจะแก้กรรม จะแก้กรรม รถมันติดอยู่จะแก้ได้ไหม แต่ถ้าเราดับเครื่องนะ พุทโธๆๆๆ ให้เครื่องมันดับ พอดับเครื่องจะเปลี่ยนอะไรก็ได้จะเปลี่ยนแหวน เปลี่ยนลูกสูบ เปลี่ยนอะไรได้หมดเลย

แก้กรรมเห็นไหม พุทโธๆ ให้จิตมันสงบเข้ามา พอสงบเข้านี่อุทิศส่วนกุศลตรงนี้ นี่แก้กรรมตรงนี้ ไอ้แก้กรรมที่เขาไปแก้กันนะ เอาตังค์มา เอาตังค์มา เอาตังค์มา ไอ้แก้กรรมอย่างนั้นมันเป็นธุรกิจ เราเป็นคนทำความชั่วเอง เราเป็นคนทำความดีเอง ใครจะทำให้เรา ใครจะแก้ให้เรา นั่งอยู่นี้บอกให้กินข้าว เราเม้มปากไว้เราจะได้กินข้าวไหม เราจะกินข้าวเราต้องอ้าปากสิ อ้าปากแล้วป้อนข้าวเข้าไปจะได้กินข้าว

จิตใจเราจะแก้กรรมนะ จิตมันรู้จักตัวจิตหรือยัง กรรมมันเกิดที่ไหน ไอ้ตัวจิตไอ้ตัวที่รับกรรมมามันอยู่ตรงไหน แล้วไอ้ตัวรับกรรมมานี่ มันแบกกรรมมาอย่างไร แล้วทำอย่างไรจะไปแก้มันได้

ถาม : นักการเมืองดีและไม่ดี ดูภายนอกอย่างไร

หลวงพ่อ : นี่ นักการเมืองดีหรือชั่ว เขาเรียกว่ารัฐบุรุษ รัฐบุรุษเขาทำเพื่ออนาคต นักการเมืองเขาต้องมีวิสัยทัศน์ นักการเมืองดีหรือชั่ว เขาดูว่า นักการเมืองระดับปานกลางเขาจะทำประโยชน์ของเขา เพื่อให้คนรักศรัทธาเขา แต่นักการเมืองที่ดีเป็นรัฐบุรุษ เขามองอนาคต เขามองถึงลูกหลานของเรา พอเขาทำถึงลูกหลานของเรา ถึงเวลาที่ผลตอบสนองมา เราจะรักนักการเมืองนั้นมากเลย แต่ถ้านักการเมืองชั่ว มันยิ่งฉ้อฉลเข้าไปใหญ่

ถาม : ดูภายนอกอย่างไร

หลวงพ่อ : ดูภายนอกนี่ คนเรามันใส่หน้ากาก ๕ ชั้น ๑๐ ชั้น โลกนะใส่แต่หัวโขนเข้าหากัน เราถึงต้องใช้ระยะเวลา เขาเรียกวุฒิภาวะ ถ้าเรามีวุฒิภาวะ คนดีก็ดีในตัวของเขา ถ้าดีในตัวของเขา แต่ถ้าคนไม่ดีเขาโฆษณาตัวเขา เราไม่น่าเชื่อถือ ฉะนั้นจะดูอย่างไรมันต้องใช้กาลเวลา และต้องมีวุฒิภาวะ หมายถึงมีเหตุมีผลชั่งตวงเอา ฉะนั้นถึงว่าดูอย่างไร

ถาม : ลายมือบอกดวงชะตาจริงหรือ

หลวงพ่อ : มันก็มีส่วนในเรื่องพรหมศาสน์ เห็นไหม เวลาเราปฏิเสธว่าผีตัวไหน ผีตัวไหน แต่อย่างนี้เขาเรียกไสยศาสตร์ พรหมศาสน์อะไรนะ เขาเรียกตำราหมอดู เขามีของเขา เป็นสถิติ ฉะนั้นลายมือต่างๆ เขาดูของเขา แต่อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ พูดเรื่องกรรมใครกำหนด ฉะนั้นดวงชะตาต่างๆ อย่างนี้ มันเป็นเรื่องปลายเหตุ เรื่องต้นเหตุคือเรื่องจิตของเรา

ถาม : ทำอย่างไรจึงเกิดมาเป็นคน

หลวงพ่อ : การเกิดมาเป็นคนคือถือศีล ๕ เขาเรียกว่ามนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติเราไม่ฆ่าคน คนเกิดมาเห็นไหม บางคนเกิดมาอายุสั้น อายุยาว อายุยืน อายุต่างๆ กันนะ เพราะได้ทำลายเขาฆ่าเขาอายุจะสั้น ดูทำไมคนในพระพุทธศาสนาเห็นไหม คนที่อยากจะมีชีวิตยืนยาว เขาจะปล่อยปลา ปล่อยนก ปล่อยสัตว์กันไง แต่ปล่อยสัตว์เขาปล่อยกันโดยข้อเท็จจริงนะ เดี๋ยวนี้ปล่อยแบบธุรกิจก็ไม่ดี ปล่อยแบบธุรกิจเห็นไหม ปล่อยนกไปแล้วนกก็วิ่งกลับเข้ามาในกรงอย่างเก่า มันปล่อยแบบธุรกิจไง ปล่อยแบบธุรกิจมันไม่ได้ปล่อยตามความเป็นจริง

ถ้าปล่อยตามความเป็นจริง สังเกตได้ใครไปปล่อยปลานะ ไปซื้อปลาที่มันจะตายแล้วไปปล่อยมัน เวลาเราปล่อยลงน้ำไปนี่ โดยสัญชาตญาณมันจะรู้ตัวมัน มันจะว่ายน้ำไปนะ แล้วมันก็จะว่ายกลับมาขอบคุณ แล้วมันค่อยว่ายไป มันรู้ว่าเราให้ชีวิตมัน นี่! ถ้าโดยปล่อยปลามันขอบคุณนะ สัตว์สัญชาตญาณมันรู้ เวลาปลาเอาไปปล่อย มันจะว่ายออกไปนะ แล้วมันจะวนเข้ามา แล้วก็ ขอบคุณ ขอบคุณ แล้วมันก็ว่ายไป นี่พูดถึงว่าทำอย่างไรถึงเกิดมาเป็นคนไง การเกิดเป็นคนเขาเรียกมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติคือศีล แล้วพอศีลแล้วนี่ มันจะมีอายุยืนยาวต่างๆ นี่ มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมทั้งนั้น

ถาม : แมว ๙ ชีวิตมีจริงหรือ

หลวงพ่อ : แมว ๙ ชีวิตนี่มันเป็นโวหารนะ มันเป็นคำภาษิตว่าแมว ๙ ชีวิต หมายถึงว่าคนเกิด คนทำดีทำชั่วหลายครั้งหลายหนไง แมว ๙ ชีวิต แหม ! แมวมี ๙ ชีวิต ไอ้เรื่องจิตวิญญาณนี้อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเรื่องจิตวิญญาณไม่ใช่ ๙ ชีวิตหรอก ล้านๆๆ ชีวิตเลยล่ะ

ถาม : ชีวิดวงชะตากำหนดจริงหรือ หรือเรากำหนดเอง

หลวงพ่อ : เรากำหนดเองถ้ามีสติปัญญา ในปัจจุบันถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรากำหนดเอง แต่ดวงชะตามันเหมือนประวัติศาสตร์ เหมือนอดีต ทุกคนเกิดมามันมีการกระทำมา อันนั้นเขาเรียกว่ากรรมเก่า แล้วเรากำหนดเองคือกรรมปัจจุบัน กรรมใหม่ คนเรามีกรรมเก่ากรรมใหม่นะ กรรมเก่าคือการกระทำมา กรรมใหม่ที่เราจะแก้ไขของเรา

ถาม : ทำอย่างไร ถึงเกิดรู้สึกอิจฉาริษยา

หลวงพ่อ : ไม่ต้องทำ มันเป็นอยู่แล้ว อิจฉาริษยากิเลสมันมีอยู่ทุกคน ไม่ต้องไปทำหรอก มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่เรามีสติปัญญายับยั้งมัน อย่าไปเชื่อมัน ทุกคนเขาก็มีดีมีชั่วทั้งนั้นนะ เราก็มีดีมีชั่วเหมือนกัน ฉะนั้นเราพยายามแก้ไขเรา เราพยายามเมตตาต่อกัน ไม่ต้องไปทำอย่างไรหรอก มีแต่ทำอย่างไรที่จะแก้ไขไม่ให้มีเลย การที่อิจฉาตาร้อนนี่ แต่ถ้ามันมีโดยธรรมชาติ ทุกคนมี ทุกคนมันมีโดยสัญชาตญาณ มนุษย์มันมีอย่างนี้ทุกคน เขาเรียกกิเลส เพราะเราเกิดมาจากอวิชชา จะปฏิเสธว่าคนโน้นมี คนนี้ไม่มี ไม่ใช่หรอก

ถ้ามันไม่มีมันก็ไม่ต้องมาเกิด ทีนี้พอมาเกิด กิเลสมันก็มีของมันอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะควบคุมมันอย่างไร แล้วจะชำระให้มันหมดไปจากใจเราอย่างไร ฉะนั้นของมันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอย่างไรให้มันเกิดหรอก ทำอย่างไรให้มันหมดไปต่างหากล่ะ ทำอย่างไรให้มันไม่มี ทำอย่างไรให้เรามีเมตตาต่อกัน ทำอย่างไรเพื่อให้ประโยชน์กับโลก จบแล้ว เอวัง